Page 34 - ทางรถไฟทหาร
P. 34

4-9

               8.  โค้งทางดิ่งหรือโค้งตั้ง (Vertical Curve)


                      8.1 ลักษณะของโค้งทางดิ่ง

                              แนวทางรถไฟในทางราบ  (Horizontal)  เมื่อแนวทางได้เปลี่ยนทิศทางไปนั้น  เราพยายามทำ
                                                ่
               ให้แนวทางเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่คอย  ๆ  เปลี่ยนได้โดยอาศัยใช้โค้งเข้าช่วยเหลือดังที่กล่าวมาในตอนต้น
               แต่เมื่อเรามาพิจารณาแนวทางในรูปตัดตามยาว   (Profile)   ดูบ้างก็อาจจะประสบกรณีที่แนวทางรถไฟได้

               เปลี่ยนแปลงอาการลาดตามยาวไปได้บ้าง เป็นต้นว่าจากแนวทางระดับเปลี่ยนแปลงเป็นแนวทางที่มีอาการลาด
               ขึ้นหรือแนวทางระดับเปลี่ยนเป็นแนวทางที่มีอาการลาดลงในภูมิประเทศบางแห่ง  ซึ่งเป็นภูมิประเทศลักษณะ

               ของที่ราบสูงหรือเป็นภูมิประเทศเป็นภูเขา  เราก็อาจจะพบแนวทางรถไฟที่จะต้องเปลี่ยนจากอาการลาดชึ้นไปสู่
               แนวทางที่มีอาการลาดลงได้บ่อย  เพื่อให้เห็นชัดจะเห็นได้ง่ายในทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ  นับตั้งแต่

               สถานีแก่งคอยไปแล้ว จะเห็นว่าแนวทางรถไฟจะมีลักษณะตามรูปตัดตามยาวดังกล่าวแล้วข้างต้น หรือหากจะดู

               ตัวอย่างก็จะแลเห็นสภาพของแนวทางรถไฟสายใต้นี้ ตอนจะข้ามสะพานจุฬาลงกรณ์นี้เอง
                                                                                   ่
                              เมื่อพิจารณาขาล่องจากกรุงเทพฯ  จะเห็นได้ว่าแนวทางเริ่มจะคอยเปลี่ยนเป็นอาการลาดขึ้น
               นับตั้งแต่ทางรถไฟกบทางถนนตัดกันแล้วจะเปลี่ยนเป็นอาการลาดลง  เมื่อเข้าสู่สถานีราชบุรีเป็นต้น  ถ้าเรา
                                ั
               พิจารณาแนวทางของรูปตัดตามยาวแล้วก็จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมจะทำให้เกิดจุดสกัดของแนวทาง

               ทั้งสองเสมอ และหากว่าไมพจารณาหาหนทางมาช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปโดยค่อย ๆ เปลี่ยนแล้ว ก็จะ
                                      ่
                                       ิ
               ทำให้ขบวนรถเกิดการขาดออกจากกันได้     ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเอาโค้งทางดิ่งมาช่วยเหลือ   เพื่อให้อาการ
               เปลี่ยนแปลงนี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ๆ

                              เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าโค้งทางดิ่งนี้จะมีทางโค้งนูน (Convex Vertical Curve) และ

               โค้งแอ่น (Concave vertical Curve) การใช้โค้งทงสองนี้จะต้องใช้โค้งแว่นไฟ (Parabola) เสมอทั้งนี้ก็เพราะ
                                                        ั้
               เป็นโค้งที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนส่วนลาดทีละน้อย ๆ และสะดวกในการวางโค้งในทางปฏิบัติมากอันตรายจะมีมาก

               ขึ้นหากว่าอาการนูน (Spur) หรืออาการแอ่น (Sag) มีมุมเล็กมาก

                      8.2  ความแตกต่างระหว่าง อาการลาดทางพีชคณิต

                              จะให้สัญลักษณ์ว่า “ A “ เมื่อแนวทางลาดขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นแนวทางลาดลงความแตกต่าง
               ทางพีชคณิต คือ ผลบวกของอาการลาดเป็นเปอร์เซ็นต์ของแนวทางทั้งสอง เมื่ออาการลาดขึ้นได้เปลี่ยนเป็น

               อาการลาดขึ้นที่น้อยกว่าแล้ว ความแตกต่างทางพีชคณิตคอผลต่างระหว่างอาการลาดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ
                                                              ื
               แนวทางทั้งสองและทำนองเดียวกันสำหรับอาการลาดลงจากอันหนึ่งเป็นอีกอันหนึ่ง

                      8.3  อัตราความเปลี่ยนแปลง (Rate of Change)

                              อัตราความเปลี่ยนแปลง คือ ความแตกต่างระหว่างอาการลาดใน ระยะความยาว 20 เมตร
               ของชยา  (อเมริกาใช้ชยา 100 ฟุต) ซึ่งให้เป็นอักษร “ r “ และมีข้อจำกัดไว้ว่าไม่ควรเกิน 0.4% แต่ทางมีทาง

               ลาดชันมากก็ต้องเพิ่มอัตรานี้ขึ้นไปอีก ซึ่งอาจเป็นถึง 1% ก็ได้
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39