Page 38 - ทางและสนามบิน
P. 38

3-3

               2. ระยะการไต่ลาดชันวิกฤต   (Critical  length  of  grade)

                      ระยะการไต่ลาดชันวิกฤต คือ ความยาวของการขึ้นลาดชันที่ออกแบบให้รถบรรทุกสามารถไต่ขึ้นได้

               โดยความเร็วไม่ลดลงมากเกินไป ซึ่งเป็นเหตุให้รถวิ่งช้ามาก และกีดขวางการจราจรประเภทอื่น     ในการขึ้นที่
                                                                    ี่
               ลาดชัน ความเร็วของรถบรรทุกขึ้นอยู่กับความลาดชันระยะทางทไต่ลาดชันน้ำหนักต่อกำลังของรถบรรทุก
               ความเร็วก่อนการไต่ลาดชัน และความชำนาญของผู้ขับขี่ โดยทั่วไปการออกแบบจะพิจารณาถึง    ความเร็ว
               ของรถบรรทุก ให้ลดลงได้ไม่มากกว่า 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถึงปลายของลาดชัน เมื่อเทียบกับความเร็ว

               ก่อนการไต่ลาดชันสำหรับทางมาตรฐานสูงทั่วไป    ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ลาดชันเกินกว่าระยะการไต่ลาดชัน

               วิกฤตและปริมาณรถมาก   จำเป็นต้องเพิ่มช่องทางวิ่งสำหรับรถบรรทุกที่วิ่งช้า ช่องทางวิ่งที่เพมขึ้นนี้เรียกว่า
                                                                                            ิ่
               climbing lane สำหรับทางมาตรฐานต่ำกว่าอาจย่อมให้ความเร็วลดลงมากขึ้น   เพื่อให้ได้ระยะลาดชันยาวขึ้น

               ทั้งนี้เพอลดค่างานตัด
                     ื่
               3.  ความสัมพันธ์ระหว่างความลาดชันสูงสุดกับความเร็วที่ใช้ออกแบบ

                      ในทางหลวงสายหลัก (Main highway) ความสัมพันธ์ระหว่างความลาดชันสูงสุดกับความเร็วที่ใช้

               ออกแบบ ได้แสดงไว้ในตาราง กรณีที่ระยะการไต่ลาดชันสั้นกว่า 150 เมตร ให้เพิ่มอีก 1 จากค่าที่แสดงไว้ใน

               ตาราง และกรณีของทางหลวงนอกเมือง  (rural highway)  ที่มีปริมาณการจราจรน้อย ให้เพิ่มความลาดชันอีก
               2 จากค่าที่แสดงไว้ในตาราง


                            ี่
                     ตารางท 3.1 ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความลาดชันสูงสุดกับความเร็วที่ใช้ออกแบบ


                            ลักษณะภูมิประเทศ                        ความเร็วที่ใช้ออกแบบ กม./ชม.

                                                                40       50       60       80       100
                   ที่ราบและลูกเนิน (flat $ rolling)            7      6      5      4      3

                   ภูเขา (hill )                                8      7      6      5      4

                   ภูเขาสูง (mountainous)                       10      9      8      7      6


               4.  โค้งทางดิ่ง   ( Vertical  Curve )

                                       ี่
                      โค้งทางดิ่ง คือ โค้งทใช้เชื่อมความลาดชันสองลาดที่ต่อเนื่องกันเข้าด้วยกัน       เพื่อให้การเปลี่ยน
               ลาดชันค่อย ๆ เปลี่ยนสำหรับกรณีทความลาดชันติดกันแล้ว     ผลรวมทางพีชคณิตของความลาดชันทั้ง 2   ไม่
                                             ี่
               เกิน 0.3 ไม่จำเป็นต้องใช้โค้งทางดิ่ง ส่วนการวัดระยะทางในทางดิ่งนั้นให้วัดระยะทางไปตามระยะราบ


               (Horizontal projection)
                      โค้งทางดิ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

                      1. โค้งทางดิ่งหงาย  ( Sag Vertical Curve )

                      2. โค้งทางดิ่งคว่ำ ( Crest Vertical Curve )
   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43