Page 52 - การดาดผิว
P. 52
4
-
22
4.2.4.10 การราดวัสดุบิทูมินัสครั้งที่สอง ก่อนการราดยางต้องกวาดมวลรวมที่
ไม่ฝังตัวออกเสียก่อน จึงเริ่มการราดยางได้อตราราดยางขึ้นอยู่กับมวลรวมชั้นที่สาม โดยปกติประมาณ 0.8-
ั
ี
ั
1.0 แกลลอน/100 ปอนด์ ของ นน.มวลรวมชั้นที่สาม อตรานี้จะลดลงอก ถ้าถนนต้องรับปริมาณการจราจรที่
สูงขึ้น ดูตารางที่ 4.8 เมื่อใช้แอสฟลท์ซีเมนต์ในการก่อสร้าง อัตราการใช้วัสดุบิทูมินัสจะไม่ถูกกำหนดไว้ แต่ให้
ั
ถือว่าการลงมวลรวม ชั้นที่สามเป็นเหมือนการแต่งผิวชั้นเดียว จึงต้องกลับไปดูปริมาณการใช้มวลรวมและวัสดุ
บิทูมินัสจากตารางที่ 4.9 โดยดูจากขนาดมวลรวมที่ใช้ในชั้นที่สาม
4.2.4.11 การโรยมวลรวมชั้นที่สาม (Application of Chokerstone) หลังราดยาง
ชั้นที่สองเสร็จต้องรีบโรยมวลรวมชั้นที่สามทันที โดยปฏิบัติในลักษณะเดียวกันกับการโรยมวลรวมชั้นที่สอง
ิ่
รวมทั้งการลากเกลี่ย และการบดทับด้วย เพมมวลรวมลงไปขณะลากและบดทับ จนกระทั่งช่องว่างที่มีอยู่ถูก
อุดอย่างสมบูรณ์ และผิวหน้าเรียบได้ที่ มวลรวมทั้งหมดยึดติดกันแน่น ไม่มีการเคลื่อนตัวต่อไป ความเร็วของ
รถบดต้องไม่เกิน 3 ไมล์/ชม. เพราะถ้าเร็วกว่านี้จะก่อนให้เกิดคลื่นซึ่งแกไขไม่ได้
้
4.2.4.12 การแต่งผิวหน้าของผิวทางแบบแมคคาดัม เมื่อต้องใช้ผิวทางแบบนี้เป็นผิว
ทางชั้นบนสุด ( Wearing Surface) และแม้การลงมวลรวมชั้นที่สามจะถือว่าเป็นการแต่งผิวชั้นเดียวแล้วก็ตาม
ื่
อาจต้องมีการแต่งผิวเพมเติมอกเพอให้ได้ผิวหน้าของถนนที่นุ่มนวลในการขับขี่ยิ่งขึ้น และกันน้ำได้ดีขึ้นด้วย
ี
ิ่
อาจฉาบปิดหน้า หรือทำการแต่งผิวซ้ำก็ได้
4.2.5 รายละเอียดเพิ่มเติม
4.2.5.1 หลังจากบดทับชั้นที่สามแล้ว อาจทำการนวด (Kneeding) ซ้ำอกก็ได้ โดย
ี
ใช้รถบดล้อยางวิ่งตลอดความกว้างไม่น้อยกว่า 30 เที่ยว เพื่อให้ได้ผิวหน้าที่เรียบแน่นยิ่งขึ้น
4.2.5.2 การเปิดการจราจรจะกระทำไม่ได้ขณะกำลังก่อสร้างจะเปิดได้ เมื่อ
ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
4.2.5.3 เมื่อเปิดการจราจรต้องจำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม.ในสองวันแรก
่
4.2.5.4 หลังการบดทับชั้นสุดท้ายถ้ามีฝนตก ไมควรเปิดการจราจร
4.2.5.5 ถ้ามีฝนตกขณะก่อสร้างต้องรอให้มวลรวมที่ก่อสร้างไว้แล้ว แห้งสนิท
ทั้งหมด จริง ๆ จึงจะทำการก่อสร้างต่อไปได้
4.2.5 ตารางแสดงปริมาณการใช้วัสดุสำหรับผิวทางแบบแมคคาดัม