Page 8 - วิชาเครื่องมือพิเศษ
P. 8

1 - 1


                                                          บทที่ 1



                                   ประวัติและความเป็นมาของกล้องตรวจการณ์กลางคืน


                           กล้องตรวจการณ์กลางคืนมีเส้นทางของการพัฒนาที่ยาวนานถึง 60 ปี มาแล้ว  จากช่วงระยะเวลา
               ที่สงครามโลกครั้งที่ 2  จนถึงปัจจุบัน
                เริ่มด้วย         Light  Intensification  Technology  ที่สามารถสร้างกล้องให้สามารถมองเห็นภาพได้

               ภายใต้การส่องสว่างเพียงรางๆ  อาทิ  จากแสงจันทร์ข้างแรม  หรือแสงดาว  ในชื่อว่า “ Starlight Scope” และ
               พัฒนามาเป็นกล้องเล็งยิงในเวลากลางคืนในปลายสงครามโลกครั้งที่  2  ว่า “Sniper  Scope” กล้องดังกล่าวนี้
               ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นยุคที่  4  ของการพัฒนาในปัจจุบันในชื่อ ว่า “Image  Intensifier,  Forth
               Generation หรือที่เรียกว่า “ IV Gen. ”  จากหลักการที่ได้พัฒนาวงจรให้สามารถขยายความสว่าง  รางๆ ของ

               ภาพที่เกิดจากแสงเพียงเล็กน้อยมากระทบวัสดุเรืองแสงที่เรียกว่า “Detector”  โดยก่อนหน้านี้ แสงสะท้อนจาก
               วัตถุที่เป็นเปูาหมายได้มีการรวมตัวผ่านเลนส์ที่มีก าลังขยาย  และมีความกว้างของการมองเห็นต่างๆ  กันตาม
               วัตถุประสงค์ที่จะน าไปใช้  เช่น  การตรวจการณ์  การเล็งยิง  การตามเปูาหมาย  และการควบคุมการยิง
               อัตโนมัติ  เป็นต้น

                มีหลายๆ              สถาบันวิจัย  ตลอดจนมหาวิทยาลัยและบริษัท ผลิตภัณฑ์ทางทหาร  มองเห็นอุปสรรค
               ของระบบกล้องกลางคืนตรงที่ต้องอาศัยแสงสว่างเป็นตัวสะท้อนเปูาให้มองเห็นภาพได้  ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีขีดจ ากัด
               ในสมรภูมิส่วนใหญ่  จึงได้ท าการวิจัยและพัฒนาการหลายด้าน  ทั้งในด้านคลื่นความสั่นสะเทือนของพื้นดินจาก

               ความเคลื่อนไหว  และในด้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟูา  จากคลื่นเสียง  คลื่นเรดาห์  ไปจนถึงคลื่นความร้อน (รังสี
               อินฟราเรด) และคลื่นรังสีเหนือม่วง (อัลตราไวโอเลต)
                           ในปี  ค.ศ. 1955    ได้มีการพัฒนา Infrared    Technology   ขึ้น  นับเป็นครั้งแรงที่มีการพัฒนา
               กล้องรังสีความร้อน (IR  Detector) เป็นหลักส าคัญในการถ่ายทอดผ่านกรรมวิธีทางอิเล คทรอนิกส์ออกมาเป็น
               ภาพความร้อนที่ไม่ต้องอาศัยแสงส่อง  เช่น  แสงจันทร์  หรือแสงดาว อีกต่อไป  เพราะวัตถุภาคพื้นดินทั้งหลาย

               จะแผ่รังสีความร้อนที่สายตามองไม่เห็น  ณ  ความยาวคลื่น   0.7 ไมครอน (1 ไมครอน = ความยาว 1 ในล้าน
               เมตร) จนถึงประมาณ 14 ไมครอน  ในขณะที่แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟูาเช่นกัน  แต่มีความยาวคลื่น  0.4 – 0.7
               ไมครอน ซึ่งตาคนมองไม่เห็นความแตกต่างของแสงออกมาเป็นภาพได้ นอกจากนี้ วัตถุภาคพื้นส่วนใหญ่ทั้งพื้นดิน

               ต้นไม้  คน  ยานพาหนะและอาคารบ้านเรือน  จะมีพลังงานความร้อนที่มากพอแก่การสร้างภาพได้ และมีความ
               หนาแน่นอยู่ในช่วงความยาวคลื่น  8-12  ไมครอน ( เรียกว่า  Long-Wave  Infrared,  LWIR  )  และมีอยู่ในช่วง
               แคบๆ  ระหว่าง 3-5 ไมครอน ( เรียกว่า  Mid หรือ Medium-Wave Infrared, MWIR )
                           การพัฒนาแบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ ประเภทภาคพื้นและติดตั้งบนอากาศยาน  บนภาคพื้น

               ได้แก่  กล้องตรวจการณ์แบบมือถือ-พกพา  และติดตั้งบนยานพาหนะ ได้แก่  กล้องเล็งยิงแบบติดปืนไรเฟิล และปืนกล
               กล้องเล็งยิงในระบบควบคุมการยิงบนยานรบ     ฯลฯ ส่วนประเภทติดตั้งบนอากาศยาน  ได้แก่  เครื่องบิน
               เฮลิคอปเตอร์ และดาวเทียม  ได้แก่กล้องในระบบ   IR    Lines    Scanner   (IRLS)  และระบบ Forward
               Looking  IR  Sensor  (FLIR) และระบบ IRLS ใช้ในการตรวจการณ์แบบมองตรงๆ  ลงไป  แล้วบันทึกภาพ

               ความร้อนภาคพื้นดินในขณะที่ยานพาหนะ เช่นเครื่องบิน  บินอยู่เหนือพื้นที่เปูาหมาย  ส่วนระบบ  FLIR    ใช้ใน
               การตรวจการณ์แบบส่องออกไปได้ทั้งทางข้างหน้า และด้านข้าง แล้วบันทึกภาพความร้อนในขณะที่ยานพาหนะ
               บินผ่าน  อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจการณ์ทางยุทธวิธี  กล้องกลางคืนในระบบอินฟราเรด
               สามารถใช้ได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน แม้จะมืดสนิท  หรือมีหมอกควันปลกคลุม  ทั้งนี้ เพราะมีความไว

               ต่อการรับความแตกต่างทางอุณหภูมิของวัตถุที่เป็นเปูาจากวัตถุหรือสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ทั้ง Back Ground และ
   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13